WCP.CO.TH

ธุรกิจและบริการ => บทความ => ข้อความที่เริ่มโดย: admin ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 02:06:11 AM

หัวข้อ: อานิสงส์ของผู้ที่ทำโรงทาน ถือว่าร่วมสร้างบุญสร้างกุศลกับพระสงฆ์องค์เจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: admin ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 02:06:11 AM
อานิส งส์ของผู้ที่ทำโรงทาน ถือว่าร่วมสร้างบุญสร้างกุศลกับพระสงฆ์องค์เจ้า

(https://fs.lnwfile.com/_/fs/_raw/d2/9z/wt.jpg)
ในสมัยพุทธกาล คนยา กคนจ นมีเยอะ ดังนั้นการตั้งโรงทานในสมัยพุทธกาลนั้น เจตนาเพื่อจะเลี้ยงคนยา กคนจ นเท่านั้น คนร วยไ ม่มีโอกาสกิน เป็นการเลี้ยงเพียงวรรณะเดียว เป็นการสร้างบารมีด้วยตัวเอง ซึ่งเกิดมาชาติใดก็จะไ ม่อดไ ม่อยาก

(https://www.kiddpan.com/wp-content/uploads/2020/01/photo-1461766705442-58d58276121a.jpg)

ในสมัยปัจจุบัน การตั้งโรงทานในวัดเนื่องในโอกาสต่างๆ นั้น จุดประสงค์ก็คือ

(https://www.kiddpan.com/wp-content/uploads/2020/01/photo-1510027580951-31747e2371a9.jpg)

1 ต้องการแบ่งเบาภาระเรื่องอาหารของทางวัด

เพราะหากไ ม่มีโรงทาน ทางวัดก็ต้องสิ้นเปลืองเงินทองจัดหาอาหารมาเลี้ยงคนที่มาที่วัด ยิ่งโดยเฉพาะช่วงที่มีงานใหญ่ๆโตๆ คนมางานกันเยอะ ถ้าไ ม่มีโรงทาน ภาระหนั กก็จะตกอยู่กับทางวัด ซึ่งการตั้งโรงทานในวัดนั้น เป็นการเปิดกว้างให้คนทุกชั้นทุกวรรณะ ไ ม่ว่าจะย ากดีมีจ นก็มีสิทธิมารับประทานอาหารได้

(https://www.kiddpan.com/wp-content/uploads/2020/01/photo-1438866376952-a773ce4d6169.jpg)

2 เป็นการร่วมสร้างบุญสร้างกุศลกับพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย

เป็นการพึ่งบารมีของท่าน เป็นการร่วมสร้างบารมีกับท่าน เมื่อคนกินอาหารอร่อย เขาก็จะโมทนากับเจ้าของโรงทาน อีกทั้งเทวดาก็โมทนาสาธุการกับเจ้าของโรงทานด้วย บางครั้งอาหารที่เรามาตั้งโรงทาน เราก็แบ่งส่วนหนึ่งไปถวายเพล ไปเลี้ยงพระ ซึ่งก็ไ ม่ได้มีข้อห้ ามอะไร ว่าอาหารที่เราตั้งโรงทาน จะต้องเลี้ยงคนที่มาที่วัดเท่านั้น จะนำไปเลี้ยงพระไ ม่ได้

เพราะฉะนั้น หากมองในภาพรวมแล้ว การตั้งโรงทานในวัดนั้น ไ ม่ได้จำกัดเฉพาะคนย ากคนจ น ไ ม่ได้จำกัดเฉพาะลูกศิษย์วัด ใครจะเดินเข้ามากินก็ได้ ที่สำคัญเป็นการร่วมทำบุญกับทางวัด ด้วยเห ตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การตั้งโรงทานในวัดจึงได้อานิสงส์มากกว่าตั้งโรงทานเพื่อเลี้ยงคนยา กคนจ นเพียงอย่างเดียว

(https://www.kiddpan.com/wp-content/uploads/2019/12/photo-1563423048606-c46d160a4c4c.jpg)

อ านิส งส์การตั้งโรงทาน เเจกอาหาร

1 เป็นผู้ที่ไ ม่ประม าท มีสติดี

เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว จะเกิดในเทวโลก แวดล้อมด้วนเหล่าบริวารคอยบำรุงบำเรออยู่ตลอดกาล จะได้เสวยสมบัติเป็นทิพย์ ครั้นเมื่อจุติจากเทวโลกแล้วมาป ฏิ ส น ธิในมนุษยโลก จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครอบครองทวีปทั้ง 4 คือ ชมพูทวีป อุตตกุรุทวีป อมรโคย านทวีป และปุพพวิเทหทวีป มีรัตนะทั้ง 7 (สัญลักษณ์ของจักรพรรดิราช) คือ จักรแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว และมณีแก้ว



2 ส่งผลให้เกิดภพชาติใดก็ไ ม่อดอยากหิ วโห ย มีกินมีใช้ไ ม่ขา ดแคลน

อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมีกินมีใช้ตลอดปีตลอดชาติ ไปที่แห่งใดก็ปลอดภั ย อิ่มจิต อิ่มใ จ อิ่มกายมีหน้าตาผ่องใส สอดคล้องกับสมัยพุธกาล “นางวิสาขา” ผู้มีผิวพรรณงดงามผ่องใส เป็นเศรษฐีนี มีทรัพย์สินเงินทอง พร้อมทั้งบริวาร อันเนื่องมาจากถวายทานภัตตาหาร และทำบุญสร้างโรงทานถวายพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์สาวกในยุคนั้น

3 เกิดอ านิส งส์เป็นทางแก้ให้กับผู้ที่เกิดมาชาตินี้

ผู้ที่ไ ม่ค่อยพอมีพอใช้ อดมื้อกินมื้อ หาเช้ากินค่ำ ทำเท่าไหร่ก็ไ ม่เหลือเก็บ หรือแม้แต่พวกที่ไ ม่ค่อยมีเวลาใส่บาตรตอนเช้า การที่เราทำโรงครัวให้กับวัดก็เหมือนกับการที่เราได้ใส่บาตรทุกวัน ” สะสมทานบารมี จะส่งผลให้มีกินมีใช้ “